ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าไม่ฉลาด แต่เขาอาจเป็นเด็กแอลดี (LD : Learning Disability)
เด็ก LD : Learning Disability หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เด็กแอลดี” เป็นความบกพร่องทางการเรียนรู้ ที่ใช้เรียกเด็กกลุ่มที่มีความผิดปกติของการรับข้อมูลและมีปัญหาในการนำข้อมูลเข้า ไปใช้ในการฟัง พูด อ่าน เขียน การคิดคำนวณ ซึ่งความบกพร่องนี้เกิดจาก “ความผิดปกติของการทำงานของสมอง” เด็กที่เป็นแอลดี จะมีหน้าตาเหมือนเด็กทั่วไป พูดคุยตอบคำถามทั่วไปได้รู้เรื่องดี แต่เวลาเรียนหนังสือ ความสามารถในการเรียนของเด็กจะต่ำกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน เช่น เด็กเรียนอยู่ชั้น ป.3 แต่อ่านหนังสือได้เท่าเด็ก ป.1
เพราะอะไรจึงเป็นแอลดี
- การทำงานของสมองบางตำแหน่งบกพร่อง โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการใช้ภาษา ทั้ง การอ่าน การเขียนและการพูด
- พันธุกรรม พบว่าเครือญาติอันดับแรกเด็กแอลดี ร้อยละ 35-40 จะมีปัญหาการเรียนรู้
- การได้รับบาดเจ็บระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
- ความผิดปกติของโครโมโซม
พบเด็กแอลดีได้บ่อยแค่ไหน
เด็กแอลดีนั้นพบได้ทุกสัญชาติ ทั่วโลก ประมาณร้อยละ 5-10 ของเด็กวัยเรียน ดังนั้น ในทุกโรงเรียนจะมีเด็กเหล่านี้อยู่ในชั้นเรียนด้วย ฉะนั้น หากคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าลูกเป็นเด็กแอลดี ควรบอกคุณครูประจำชั้น ซึ่งเด็กแอลดี (LD : Learning Disability) ไม่หาย แต่สามารถแก้ไขได้ ถ้าครอบครัว คุณครูประจำชั้น เข้าใจเขา และหาสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม
ข้อสังเกต เด็กแอลดีแต่ละช่วงวัย >> คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้อย่างไรว่าลูกเป็นเด็กแอลดี
วัยอนุบาล
- เด็กมีประวัติเริ่มพูดช้า เช่น พูดคำแรก เมื่ออายุ 1 ขวบครึ่ง หรือ 2 ขวบ
- เด็กมีประวัติพูดไม่ชัด หรือ ยังมีการออกเสียงไม่ชัดในบางพยัญชนะ
- มีการพูดสลับคำ, เรียงประโยคไม่ถูก เช่น “หนูอยากกินขนม” เป็น “ขนมหนูกิน” เป็นต้น
- พูดตะกุกตะกัก หรือบอกชื่อวัสดุที่ต้องการไม่ได้ ได้แต่ชี้ของสิ่วนั้น
- มีปัญหาการสื่อสาร เช่น พูดแล้วคนอื่นไม่เข้าใจ หรือ ฟังคนอื่นไม่เข้าใจ
- มีปัญหาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มีลักษณะงุ่มง่าม เชื่องช้า เช่น การหยิบจับสิ่งของ การผูกเชือกรองเท้า ติดกระดุมเสือ้ จับดินสอไม่ถนัด เป็นต้น
- มีปัญหาการใช้สายตาร่วมกับมือ เช่น การกะระยะระหว่างสิ่งของ การหยิบแยกวัตถุเล็กๆ จากพื้นหลัง
ขอบคุณภาพจาก อักษรเจริญทัศน์ อจท.
ถึงแม้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ LD จะไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนในเด็กต่ำกว่า 6 ขวบ แต่คุณครูสามารถค้นหากลุ่มเสี่ยงได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยวิธีการสังเกตและการคัดกรองผ่านสื่อการสอนอย่างเป็นขั้นตอน เพราะ "ความบกพร่องทางการเรียนรู้ LD" ยิ่งพบเร็ว ยิ่งป้องกันและแก้ไขได้เร็ว
วัยเรียนชั้นประถมศึกษา
- ความบกพร่องด้านการอ่าน
เด็กมีความบกพร่องในการจำพยัญชนะ สระ ขาดทักษะในการสะกดคำและเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างจำกัด จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรือ่านคำศัพท์ง่ายๆ ผิด เด็กจะใช้วิธีการเดาเวลาอ่าน จึงอ่านได้เฉพาะคำที่เห็นบ่อยๆ เพราะใช้วิธีการจำไม่ใช่การสะกด
- ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ
เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์ และการันต์ ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด มีปัญหาการเลือกใช้คำศัพท์ การแต่งประโยค และการสรุปเนื้อหาสำคัญ ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดความคิดผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน แต่สามารถลอกตัวหนังสือตามได้
- ความบกพร่องด้านการคำนวณ (คณิตศาตร์)
เด็กขาดทักษะความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคิดหาคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาตร์
ขอบคุณภาพจาก อักษรเจริญทัศน์ อจท.
คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเหลือเด็กแอลดีได้อย่างไร
หากพบว่าลูกมีปัญหาการอ่านหนังสือ การเขียน สะกดคำ หรือการคำนวณ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยเหลือในเบื้องต้นได้คือ
- พาเด็กไปพบแพทย์ที่เกี่ยวกับเด็กแอลดีทันที
- ปรึกษาคนในครอบครัว คุณครู หรือผู้รู้
- อย่าลีกเลี่ยงปัญหา
- ลดความคาดหวัง
- แสดงความห่วงใย และให้กำลังใจเด็กเสมอ เพราะเด็กยังต้องการความรัก ความเข้าใจจากคุณพ่อคุณแม่
- คิดไว้เสมอว่าการมีลูกเป็นแอลดี ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายของชีวิต ถือเป็นสิ่งท้าทายและเป็นโอกาสดีที่จะได้ย้อนวัยเยาว์ไปทบทวนบทเรียนกับลูก
- ค้นหาจุดเด่น พัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี การทำกิจกรรม ฯลฯ พัฒนาความสามารถที่เขาถนัดอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น
- แก้ไขจุดอ่อน โดยการค้นหาและแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในตัวเด็ก เช่น ไม่ชอบช่วยเหลือตัวเอง ไม่อดทน ไม่มีสมาธิ ฯลฯ โดยวิเคราะห์หาสาเหตถที่แท้จริงและแก้ไขให้ตรงจุด
เด็กแอลดีเมื่อเติบโตขึ้น เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไปปกติ (หากได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้อง) สามารถเข้ากับกลุ่มเพื่อนได้ ประกอบอาชีพ (ที่เน้ลงมือปฏิบัติ ไม่เน้นวิชาการ) ได้ เพียงแต่บางคนอาจจะมีความลำบากเกี่ยวกับความบกพร่องในบางด้าน (อ่านหนังสือไม่ถูกต้อง อ่านไม่คล่อง คำนวนไม่ได้ เป็นต้น) ฉะนั้น พ่อแม่และคนในครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าไม่ฉลาด แต่เขาอาจมีความบกพร่องด้านการเรียนรู้ หรือฉลาดในด้านอื่น ก็ได้