คุณแม่หลังคลอดอยากไปพบ “จิตแพทย์” รักษาอาการ “ซึมเศร้าหลังคลอด” ต้องทำอย่างไรบ้าง
ในยุคนี้การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ความคิดเชยๆ ที่ว่า ไปหาจิตแพทย์เท่ากัยเป็นบ้า ถือว่าเป็นความคิดที่ล้าสมัยสุดๆ ไปแล้วล่ะค่ะ เพราะเราต่างเข้าใจตรงกันแล้วว่า จิตแพทย์ไม่ได้รักษาอาการทางจิตเท่านั้น แต่คนปกติที่เผชิญภาวะเครียด ซึมเศร้า หรือไม่มีความสุข ก็สามารถเข้าพบจิตแพทย์ได้เช่นกัน
สำหรับคุณแม่หลังคลอด หลายคนต้องเผชิญกับอาการซึมเศร้าที่เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับภาระมากมายที่ต้องแบกรับ และร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่แปลกเลยค่ะ หากคุณอยากจะได้ที่พึ่งอย่าง “จิตแพทย์” มาให้คำปรึกษา เพื่อให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น หรือมีแนวทางในการรับมือภาวะซึมเศร้าหลังคลอด Happy Mom.Life ไม่อยากให้คุณกลัวการไปพบจิตแพทย์ แต่อยากให้คุณรักตัวเองมากๆ มากพอที่จะเดินไปหาจิตแพทย์เพื่อหาทางช่วยเหลืออย่างถูกต้องให้กับตัวคุณเอง
สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่มีอาการซึมเศร้า และอยากพบจิตแพทย์ แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรบ้าง เรามีคำแนะนำมาฝากในวันนี้ค่ะ…
1. เปิดใจยอมรับตัวเอง
ขั้นแรก เราขอให้คุณเปิดใจยอมรับตัวเองก่อนว่า คุณกำลังไม่สบายอยู่ จะว่าไปก็เหมือนคุณเป็นหวัดนั่นแหละค่ะ ใครๆ ก็เป็นได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หากคุณยังไม่แน่ใจนักว่า คุณควรไปพบจิตแพทย์หรือไม่ ลองสังเกตอาการตัวเองดังนี้ก่อนก็ได้นะคะ
- คุณมีอาการซึมเศร้า หม่นหมอง หดหู่ ร้องไห้
- ความรู้สึกสนุก สนใจ ทำกิจวัตรประจำวันที่เคยชอบลดลง หรือรู้สึกเบื่อหน่ายในการดูแลลูก
- เบื่ออาหาร หรืออยากกินอาหารตลอดเวลา
- ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดเวลา
- ง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา หรือนอนไม่หลับ
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เป็นแม่ที่ไม่มีความสามารถ
- ไม่มีสมาธิ ความคิด อ่าน จดจ่อในสิ่งที่ทำลดลง
- เคลื่อนไหวช้าลง หรืออยู่ไม่สุข
- มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
หากคุณมีอาการอย่างน้อย 5 ใน 9 ข้อ และมีข้อ 1 ข้อ 2 ร่วมด้วย มีอาการต่อเนื่องเกือบตลอดเวลา เป็นทุกวัน หรือเป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และไม่ใช่จากผลข้างเคียงของการใช้ยา คุณเข้าข่ายเสี่ยงเป็น “โรคซึมเศร้าหลังคลอด” ค่ะ
2. หาข้อมูลโรงพยาบาลที่เหมาะกับคุณ
เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปพบจิตแพทย์ ขั้นต่อมาคือการหาโรงพยาบาลที่เหมาะกับคุณ โดยในปัจจุบันนี้มีโรงพยาบาลที่มีจิตแพทย์ประจำอยู่หายแห่ง แตกต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละที่ วิธีการเลือกโรงพยาบาล อาจดูจากความสะดวกในการเดินทาง ค่าใช้จ่าย แจะสิ่งที่คุณต้องการได้รับ
คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน
เหมาะมากหากคุณไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะคุณจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ คุณหมอมีเวลาพูดคุยกับคุณได้อย่างเต็มที่ และสามารถพบแพทย์ท่านเดิมได้ สามารถนัดเวลาที่แน่นอนได้ ตัวอย่างโรงพยาบาลเอกชน เช่น
- โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
- โรงพยาบาลกรุงเทพ
- โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น
- โรงพยาบาลคามิลเลียน
- โรงพยาบาลเจ้าพระยา
- โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์
- โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล
- โรงพยาบาลเทพธารินทร์
- โรงพยาบาลไทยนครินทร์
- โรงพยาบาลธนบุรี
- โรงพยาบาลนครธน
- โรงพยาบาลนนทเวช
- โรงพยาบาลนวมินทร์1
- โรงพยาบาลนวมินทร์9
- โรงพยาบาลบางนา1
- โรงพยาบาลบางนา2
- โรงพยาบาลบางโพ
- โรงพยาบาลบางมด
- โรงพยาบาลบางปะกอก9 อินเตอร์เนชั่นแนล
- โรงพยาบาลบีเอ็นเอช
- โรงพยาบาลบีแคร์
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- โรงพยาบาลประชาพัฒน์ (เดิมชื่อ นวมินทร์2)
- โรงพยาบาลปิยะมินทร์ สมุทรปราการ
- โรงพยาบาลปิยะเวท
- โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย4
- โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
- โรงพยาบาลเปาโล สะพานควาย
- โรงพยาบาลพญาไท1
- โรงพยาบาลพญาไท2
- โรงพยาบาลพญาไท3
- โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์
- โรงพยาบาลพระราม9
- โรงพยาบาลพระราม2
- โรงพยาบาลเพชรเวช
- โรงพยาบาลแพทย์รังสิต
- โรงพยาบาลภัทรธนบุรี
- โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
- โรงพยาบาลมนารมย์
- โรงพยาบาลเมโย
- โรงพยาบาลรามคำแหง
- โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ
- โรงพยาบาลลาดพร้าว
- โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
- โรงพยาบาลวิภาราม (นนทบุรี)
- โรงพยาบาลวิภาวดี
- โรงพยาบาลเวชธานี
- โรงพยาบาลศิครินทร์
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
- โรงพยาบาลศรีวิชัย1
- โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
- โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
- โรงพยาบาลสายไหม
- โรงพยาบาลสินแพทย์
- โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ (เดิมชื่อ กรุงธน2)
- โรงพยาบาลหัวเฉียว
- โรงพยาบาล World Medical Center
โรงพยาบาลรัฐ
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งที่มีจิตแพทย์ประจำโรงพยาบาล แม้การไปพบแพทย์เพื่อรักษาจะไม่สะดวกสบายเท่าโรงพยาบาลเอกชน และแพทย์มีเวลาให้เราไม่มากนัก รวมทั้งอาจไม่ได้พบแพทย์ท่านเดิมเสมอไป แต่คุณสามารถใช้สิทธิต่างๆ เช่น ประกันสังคม หรือบัตรทองได้ ตัวอย่างโรงพยาบาลรัฐที่มีจิตแพทย์ประจำอยู่ เช่น
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต
- คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล
- โรงพยาบาลกลาง
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
- โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
- โรงพยาบาลตากสิน
- โรงพยาบาลตำรวจ
- โรงพยาบาลทหารผ่านศึก
- โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
- โรงพยาบาล นครปฐม
- โรงพยาบาล สมุทรสาคร
- โรงพยาบาลพร้อมมิตร (รพ.บ้านแพ้ว สาขาพร้อมมิตร)
- โรงพยาบาลปทุมธานี
- โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ
- โรงพยาบาลภูมิพลอดุยเดช
- โรงพยาบาลมเหสักข์
- โรงพยาบาลราชวิถี
- โรงพยาบาลรามาธิบดี
- โรงพยาบาลเลิดสิน
- โรงพยาบาลศิริราช
- โรงพยาบาลศรีธัญญา
- โรงพยาบาลสงฆ์
- โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า
- ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (รพ.ชลประทาน จ.นนทบุรี)
- ศูนย์บริการสาธารณสุข3 บางซื่อ
- ศูนย์บริการสาธารณสุข4 ดินแดง
- ศูนย์บริการสาธารณสุข21 วัดธาตุทอง
- ศูนย์บริการสาธารณสุข23 สี่พระยา
- ศูนย์บริการสาธารณสุข24 บางเขน
- ศูนย์บริการสาธารณสุข33 วัดหงส์รัตนาราม
- สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ (เดิมชื่อ โรงพยาบาลนิติจิตเวช)
- สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
- สถาบันธัญญารักษ์ (สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี)
- สถาบันประสาทวิทยา
- สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ
3. โทรสอบถามโรงพยาบาลเพื่อนัดวัน
หลังจากเลือกโรงพยาบาลได้แล้ว คุณควรโทรไปสอบถามวันเวลาและนัดวันพบแพทย์ก่อนเข้าไปนะคะ เพื่อให้ทราบข้อมูลเบื้องต้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา การนัดวันเข้าไปพบแพทย์จะทำให้คุณสะดวกสบายมากกว่า เหมาะกับแม่ลูกอ่อนที่มีเวลาไม่มากนัก
4. เรียบเรียงเรื่องราว อาการที่อยากปรึกษาจิตแพทย์
ก่อนเข้าพบจิตแพทย์ คุณควรเรียบเรียงเรื่องราวที่อยากเล่าให้คุณหมอฟัง รวมทั้งลิตส์อาการต่างๆ ที่คุณกำลังเป็นอยู่เอาไว้ด้วย เพื่อที่เมื่อได้พูดคุยกับคุณหมอแล้ว คุณสามารถบอกการได้อย่างตรงจุดค่ะ ที่สำคัญ อย่าโกหกคุณหมอนะคะ บอกเล่าความจริงทุกอย่างให้คุณหมอฟัง คุณหมอจะได้หาทางช่วยได้อย่างตรงจุดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากแฟนเพจ : สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
กรมสุขภาพจิต https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28414
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง