ลูกแอบกินขี้มูก! พฤติกรรมตามธรรมชาติที่สังคมยี้ แต่คุณแม่ควรทำความเข้าใจ

การที่คุณพ่อคุณแม่เห็นลูกแคะจมูกแล้วเอาขี้มูกเข้าปาก เป็นเรื่องน่าตกใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านอาจทำใจยอมรับกับพฤติกรรมนี้ของลูกได้ยาก บางคนถึงขั้นดุลูก และห้ามลูกไม่ให้ทำพฤติกรรมแบบนี้อีก เพราะเข้าใจว่าการแคะขี้มูกแล้วเอามากิน เป็นพฤติกรรมที่สังคมรังเกียจ ขี้มูกเป็นสิ่งสกปรก อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ทั้งที่จริงๆ แล้ว การกินขี้มูกอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกและเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่พ่อแม่ทุกคนก็อาจจะเคยทำแบบเดียวกับลูกมาก่อนก็ได้!

โดยศาสตราจารย์ เฟดริช บิสชินเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปอด เมืองอินส์บรูค ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า คนที่ชอบใช้มือแคะจมูกนั้น เป็นคนที่มีสุขภาพดีและมีความเป็นได้ที่จะมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ เพราะขณะที่ใช้นิ้วแคะจมูก ร่างกายจะรู้สึกเพลิดเพลิน และจะไม่สร้างความเครียดให้ตนเอง แถมยั้งย้ำอีกด้วยว่า การกินขี้มูกที่แคะออกมา เป็นการเสริมระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย เพราะจมูกเป็นเหมือนที่กรองอากาศและมีแบคทีเรียสะสมอยู่มากมาย ขี้มูกที่กินเข้าไปเมื่อผ่านกระบวนการย่อยอาหาร แบคทีเรียจะกลายเป็นยาชั้นดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นเอง

อีกทั้ง หมอบิสชินเกอร์ ยังย้ำอีกด้วยว่า สมัยเด็ก ทุกคนเคยแคะขี้มูกอย่างมีความสุข แต่พอโตขึ้นมาก็ต้องเลิก เพราะสังคมมองเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ ทั้งที่ความจริงแล้ว การแคะจมูกและกินขี้มูก เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่มีผลดีทางการแพทย์มากมาย 

รสชาติขี้มูกแสนถูกใจลูก

ทางด้านนักวิทยาศาตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง อาธิ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบันและเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ก็ออกมาระบุว่า “บรรดาผู้ปกครองไม่ควรห้ามลูกใช้นิ้วแคะจมูก เนื่องจากในรูจมูกนั้นเป็นแหล่งรวมแบคทีเรียมากมาย" และในขี้มูกยังช่วยป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ แผลในกระเพาะอาหาร หรือแม้แต่เชื้อ HIV ได้ด้วย

แต่ทั้งนี้ การแคะจมูกมากๆ หรือขาดความระมัดระวัง ก็อาจจะเกิดผลเสียต่อจมูกได้ เช่น

• เส้นเลือกในเยื้อบุโพรงจมูกแตก ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเลือดกำเดาไหล
• เป็นแผลในรูจมูก

ดังนั้น พฤติกรรมการกินขี้มูกของลูกจึงไม่ใช่เรื่องน่าห่วงแต่อย่างใด แค่สอนให้ลูกแคะจมูกอย่างระมัดระวัง หรือหากคุณพ่อคุณแม่กังวล กลัวว่าลูกจะถูกสังคมรังเกียจ ก็อาจจะพูดคุยกับลูกดีๆ ทำให้เขาเข้าใจสาเหตุว่าทำไมพ่อแม่ถึงห้าม ซึ่งพฤติกรรมชอบกินขี้มูกของเด็กอาจจะหายไปเองเมื่อลูกโตขึ้น