ครีมกันแดดแบบ Chemical กับ Physical ต่างกันอย่างไร แล้วเลือกครีมกันแดดแบบไหนถึงจะปังไม่พังชัวร์

05 Feb 18 pm28 15:29

หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องครีมกันแดดแบบ Chemical กับ Physical กันมาบ้าง บางคนก็ว่า แบบ Chemical ดีกว่า แต่บ้างก็ว่า Physical เลอค่า ปลอดภัยชัวร์ จนเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเลือกครีมกันแดดแบบไหนดีที่จะดูแลผิวของเราได้ Happy Mom.Lfe จึงขอสรุปเอาข้อดี และข้อเสียของครีมกันแดดทั้ง 2 ชนิดมาให้แบบเข้าใจง่ายๆ เพื่อจะได้เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณอย่างแท้จริงค่ะ



ครีมกันแดดแบบ Chemical กับ Physical คืออะไร? ต่างกันอย่างไร?


ครีมกันแดดทั้งสองชนิดนี้ ต่างกันที่ส่วนผสม และวิธีการทำงานในการป้องกันแสงแดดบนใบหน้าของเราค่ะ โดยวิธีการปกป้องแสงแดดต่างกันดังนี้



ในความเป็นจริงแล้ว ครีมกันแดดทั้ง 2 ประเภทนี้ สามารช่วยปกป้องผิวหน้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งคู่เลยล่ะค่ะ แต่ความต่างคือข้อดีและข้อเสียที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนั่นเอง




ข้อดีและข้อเสียของครีมกันแดดแบบ Chemical กับ Physical


ทีนี้เรามาดูกันค่ะ ว่าครีมกันแดดทั้ง 2 ชนิด มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง



ครีมกันแดดแบบ Chemicalครีมกันแดดแบบ Physical
ข้อดี
  • เนื้อเป็นน้ำ จึงมักมีเนื้อที่บางเบา เกลี่ยง่าย หน้าไม่ขาววอกมาก
  • สามารถผสมส่วนผสมอื่นๆ เข้าไปได้ง่าย ทำให้สามารถมีสารบำรุงอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย
  • ราคามักถูกกว่า ครีมกันแดดแบบ Physical
  • กันแสงได้ทั้ง UVA,UVAVisible light และ infrared
  • โอกาสแพ้มีน้อย
  • ทาแล้วสามารถออกแดดได้เลย
  • ไม่จำเป็นต้องทาซ้ำบ่อยครั้ง หากไม่โดนเหงื่อหรือน้ำมาก
  • เหมาะกับคนผิวมัน เป็นสิวง่าย เพราะมีโอกาสอุดตันน้อยกว่า
ข้อเสีย
  • กันแสงได้บางช่วงคลื่น ขึ้นอยู่กับสารเคมีที่ใช้
  • ต้องรอประมาณ 20 นาทีก่อนจึงออกแดดได้
  • มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่า
  • ต้องทาซ้ำบ่อยๆ
  • ไม่เหมาะกับคนผิวมัน เพราะมีโอกาสอุดตันได้มากกว่า
  • บางตัวอาจเหนอะหนะ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของแต่ละยี่ห้อ
  • อาจทำให้หน้าขาววอกเวลาทาครีมได้
  • หลุดออกง่ายเมื่อโดนเหงื่อหรือน้ำ
  • เกลี่ยได้ค่อนข้างยาก
  • อาจเกิดสิวได้ในผู้ที่แพ้สาร Titanium dioxide



เลือกครีมกันแดดอย่างไรล่ะทีนี้???


เอาล่ะ!   ต่อให้รู้แล้วว่าครีมกันแดดทั้งสองแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่หลายคนก็ยังอาจสับสนว่า แล้วท่ามกลางมหาสมุทรครีมกันแดดมากมายในท้องตลาด เราจะเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับเราอย่างไรดี เราขอเสนอดังนี้ค่ะ


1. ดูค่า SPF และ Pa

แน่นอนว่า สิ่งแรกๆ ที่หลายคนทำเวลาไปซื้อครีมกันแดดก็คือ การดูค่า SPF ที่ระบุไว้ข้างผลิตภัณฑ์ ยิ่งบางผลิตภัณฑ์มีแถมค่า Pa ตามด้วยเครื่องหมายบวกยาวๆ เราก็คงเริ่มงงแล้วว่า ตกลงมันยิ่งเยอะยิ่งดีใช่ไหม เราจะอธิบายให้ฟังค่ะ


ค่า SPF เป็นค่าที่บอกเราว่า ครีมกันแดดนี้ป้องกันรังสี UVB ได้ดีแค่ไหน (รังสี UVB ก็คือรังสีที่ทำลายผิวหนังส่วนบน มักทำให้เราผิวคล้ำนั่นแหละค่ะ) โดยค่า SPF ยิ่งมาก ก็ยิ่งปกป้องได้ดีและนาน วิธีคำนวนง่ายๆ คือการนำค่า SPF มาคูณด้วย 15 จะรู้ว่าครีมกันแดดนั้นป้องกันรังสี UVB ได้กี่นาที เช่นตามตารางด้านล่าง


ค่า SPFระยะเวลาในการปกป้องประสิทธิภาพในการปกป้อง
SPF 15225 นาที93.3%
SPF 30270 นาที96.7%
SPF 50750 นาที98%



ส่วนค่า PA นั้น มีไว้เพื่อบอกเราว่าครีมกันแดดนั้นสามารถป้องกันรังสี UVA ได้มากแค่ไหน (รังสี UVA คือรังสีที่ทำร้ายผิวลึกๆ ได้ เช่นทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ) โดยค่า PA มีอยู่ 3 ระดับคือ



เพราะฉะนั้น การเลือกครีมกันแดดที่ดี ควรเลือกที่มีทั้งค่า SPF และค่า PA โดยค่า SPF 15 นั้นก็เพียงพอต่อการกันแดดในชีวิตประจำวันของเราแล้วค่ะ แต่หากต้องออกแดดจัดมากๆ จะเลือกค่า SPF สูงขึ้นมาก็ไม่ผิด แต่ขอบอกก่อนว่า ยิ่งค่า SPF สูง สารเคมีก็จะยิ่งมากขึ้น อาจก่อให้เกิดอาการแพ้และสิวได้มากขึ้นด้วยเช่นกันนะคะ


2. ดูความเหมาะสมกับสภาพผิวของเรา

ผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เช่น คนที่ผิวมัน อุดตันเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อเจลหรือโลชั่น ค่า SPF ไม่สูงมากเกินไปก็จะเซฟกว่า ส่วนคนที่ผิวแพ้ง่าย ให้ลองเลือกซื้อครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เป็นต้นค่ะ


ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน หากไม่อยากให้ผิวเสีย เป็นริ้วรอย ฝ้า กระ ต้องยอมเสียเงินให้กับครีมกันแดด และหมั่นทาครีมกันแดดเสมอ แม้จะไม่ได้ออกแดดก็ตามค่ะ