การเป็นคุณแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ค่ะ เพราะต่อให้เลี้ยงลูกตามที่คุณหมอแนะนำ โดยการให้ลูกเริ่มทานอาหารเสริมบดคู่ไปกับนมแม่ ในวัย 6 เดือนขึ้นไป แต่ปัญหาใหม่ก็เข้ามาให้คุณแม่ต้องปรับจูนวิธีเลี้ยงลูกให้เหมาะกับตัวลูกของตัวเองเสมอ โดยสังเกตว่า “การให้อาหารบดนานเกินไป ทำให้ลูกเคี้ยวเองไม่เป็น เลือกกิน กินยาก ไม่ยอมกินอาหารจากช้อน” ดังนั้น จึงได้ศึกษาแนวคิด “การให้อิสระในการทานอาหารกับเด็กเล็ก” ซึ่งถูกเรียกว่า BLW แน่นอนว่าแรกๆ ก็เป็นเรื่องที่ขัดใจมนุษย์แม่อยู่พอสมควร เพราะลูกยังเล็ก ฟันก็ยังไม่มี แล้วจะกินเองได้ยังไง? แต่การเลี้ยงลูกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีนี้อาจจะเหมาะกับลูกของเราก็ได้ ไม่อย่างนั้น BLW ไม่เป็นที่ยอมรับของคุณหมอเด็กในต่างประเทศและเป็นที่นิยมของคุณแม่ยุคใหม่ได้หรอก
Baby Led Weaning คืออะไร
Baby Led Weaning หรือเรียกสั้น ๆ ว่า BLW คือการที่ให้ลูกกินอาหารด้วยตัวเอง ควบคุมการใช้มือหยิบจับ ป้อนเข้าปากเอง โดยเป็นอาหารที่มีลักษณะคล้ายอาหารของผู้ใหญ่ (แต่ไม่ปรุงแต่งในขวบแรก) ไม่บด ไม่ปั่น ไม่ต้องป้อน ไม่ใช้ช้อน เป็นการให้อิสระในการทานอาหารกับเด็กเล็กตั้งแต่ทารก ให้เขารู้จักสัมผัสของอาหาร เรียนรู้วิธีการจัดการอาหารที่เป็นของแข็ง การเคี้ยวอาหารก่อนกลืน ก่อนใช้ช้อนเป็น และได้กำหนดความต้องการด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ คือ แม่สบาย ลูกแฮปปี้ นั้นเอง
แต่การฝึก BLW ไม่ใช่เรื่องง่าย มีกฎที่เคร่งครัดอยู่พอสมควร ดังนี้
- ลูกต้องมีอายุครบ 6 เดือนขึ้นไปเท่านั้น!! เพราะระบบย่อยของเด็กจะยังไม่พร้อมจนกว่าจะมีอายุครบ 6 เดือน
- ลูกต้องนั่งหลังตรงได้ ไม่อย่างนั้นอาหารอาจติดคอหรือ choking ได้
- รอให้ลูกหยิบของ ใช้มือ คว้าจับ กำอาหารได้ หรือหยิบสิ่งของแล้วเอาเข้าปากตามแม่ได้ก่อน
- ไม่มีปฏิกิริยา tongue thrust reflex หรือการเอาลิ้นดุนๆ มาข้างหน้าต้องหายไปก่อน
- ต้องให้ลูกนั่งกินเท่านั้น!! ดังนั้น จำเป็นต้องมีเก้าอี้กินข้าวแบบมีพนักพิงหลัง (high chair) ที่สามารถปรับระดับความสูงเท่ากับโต๊ะกินข้าวผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกนั่งร่วมโต๊ะกินไปพร้อมกับเราได้
- ห้ามปล่อยลูกไว้คนเดียวตอนกินเด็ดขาด!! คุณแม่ต้องนั่งอยู่กับลูกตลอดเวลา และควรมีความรู้พื้นฐานในการช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีที่เด็กมีอะไรหลุดลงคอจนอุดกั้นทางเดินหายใจ (choke) อย่างถูกต้อง
จะเริ่มฝึกให้ลูกกินอาหารแบบ BLW ได้เมื่อไร
- เมื่อเด็กมีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และ มีความพร้อมที่จะฝึก BLW (ตามกฎด้านบน)
- การเริ่ม ควรเป็นไปอย่างช้าๆ สบายๆ ในสัปดาห์แรกควรเป็นอาหารนิ่มๆ ไม่เละ และจับถนัดมือ หั่นเป็นชิ้นใหญ่ เช่น ผักต้มสุก ผลไม้ 3-4 อย่าง เมื่อลูกเก่งแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นอาหารแบบผู้ใหญ่มากขึ้น (ไม่ปรุงแต่งเยอะ)
- รอให้ลูกหยิบเข้าปากเอง ไม่ต้องป้อน ไม่ต้องเชียร์หรือช่วยเหลือใดๆ แม่มีหน้าที่นำเสนออาหารที่ถูกโภชนาการให้เขาเท่านั้น และอยู่กับลูกตลอดเวลา หรือกินไปพร้อมกับลูก ให้ลูกเรียนรู้ท่ากินของแม่ไปด้วยเลยก็ได้
- แรกๆ อาจจะเลอะมาก เลอะน้อย และทานไม่ได้เยอะ ไม่ต้องกังวล เพราะเป็นเรื่องปกติของ BLW หลังๆ ลูกจะทานได้มากขึ้นและค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
สิ่งที่คุณแม่ควรรู้
- ทารกจะมีฟันหรือไม่มีฟันไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการเริ่ม เพราะลูกจะใช้เหงือกเป็นตัวบดอาหารได้
- ลูกอาจมีอาการขย้อน (gag reflex) เป็นกลไกป้องกันปกติของร่างกายเพื่อไม่ให้อะไรหลุดลงไปติดคออุดทางเดินหายใจ แต่หลังจากนั้น เขาจะเรียนรู้การจัดการกับอาหารมากขึ้น แต่ทั้งนี้คุณแม่ต้องสังเกตอาการของลูกเสมอ หากสีหน้าเปลี่ยนไปให้รีบช่วยเหลือทันที แต่ทั้งนี้ คุณหมอชี้แจงว่า ถ้าเรานั่งดูอยู่ตลอดและเลือกอาหารให้เหมาะสม นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ จะเกิดอาการ choke ได้น้อยมาก
- “กินได้มาก-น้อยแค่ไหน ไม่สำคัญเท่ากับการเข้าใจคอนเซปต์ในการกิน เพราะในขวบปีแรก "อาหารหลัก" ของเด็กคือ นมแม่ หรือนมผง (first infant formula) ส่วน "อาหารเสริม" ก็คือสิ่งที่มาเสริมอาหารหลัก” กล่าวโดย Baby Led Weaning Thailand
ข้อดีของการฝึก BLW
- สร้างทัศนคติที่ดีต่ออาหาร ลูกมีความสุขในการกิน
- สร้างสุขนิสัยที่ดีในการกินให้ลูก ไม่กินไปเล่นไป เพราะจะถูกจำกัดเวลาการกินเพียง 15 – 45 นาทีเท่านั้น (แรกๆ อาจจะเผื่อเวลาให้อีกสักหน่อย)
- ฝึกการใช้กล้ามเนื้อ มือ การบดเคี้ยว การดูด
- ฝึกการช่วยเหลือตัวเอง มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง
- คุณแม่ไม่เหนื่อยป้อน
การฝึก BLW ในช่วงแรกๆ อาจจะเป็นเรื่องยากที่ลูกจะทานได้หมด บวกกับความกังวล กลัวว่าลูกจะสำลักอาหาร กลัวว่าลูกจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ซึ่ง HappyMom.Life เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นกันทุกคน ดังนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใจไม่แข็งพอ ก็อาจจะเลี้ยงลูกแบบยืดหยุ่น และค่อยๆ ปรับให้เหมาะกับลูกตามบริบทของแต่ละครอบครัว ขอแค่ให้ลูกมีความสุขกับการกิน และเติบโตอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ ก็โอเคแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ Baby Led Weaning Thailand, เพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
https://yosana.co/blogs/yoga-blog/yoga-for-moms-to-be/