ลูกอายุ 6 เดือน "ฟันน้ำนม" ซี่แรกขึ้นแล้ว พ่อแม่ควรช่วยดูแลอย่างไร

2019.05.24 137

ใครๆ ก็อยากให้ลูกมีสุขภาพช่องปากที่ดี เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพรวมๆ ของร่างกาย และพัฒนาการที่ดี ไปจนถึงบุคลิกภาพที่ดีของลูกด้วยใช่ไหมล่ะคะ เมื่อเด็กๆ ถึงวัยฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลช่องปากเด็กเป็นพิเศษ Happy Mom.Life ได้รวบรวมเอาวิธีดูแลช่องปากลูกมาฝากค่ะ

อยากให้ลูกมีสุขภาพช่องปากที่ดี

เด็กในวัยประมาณ 6 เดือน จะเริ่มมีฟันซี่แรกขึ้น (อาจช้าหรือเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเด็ก) และขึ้นครบ 20 ซี่เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง ฟันน้ำนมมักเกิดปัญหาฟันผุง่ายกว่าฟันแท้ และอาจผุตั้งแต่ลูกอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ เพราะฟันน้ำนมมีชั้นเคลือบฟันประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้นและมีปริมาณแคลเซียม ฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบน้อยกว่า การดูแลช่องปากลูกจึงเป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะค่ะ

ด้วยเหตุนี้ เราถึงอยากให้คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเรื่องความสะอาดและการดูแลช่องปากของลูกให้แข็งแรงสม่ำเสมอ โดยขอแนะนำดังนี้ค่ะ…

1. ทำความสะอาดปากลูก

คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดช่องปากลูกตั้งแต่ฟันซี่แรกของลูกยังไม่ขึ้น หากเด็กกินนมแม่ยังไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดช่องปาก แต่หากเด็กกินนมผง ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น เมื่อลูกเริ่มมีฟันขึ้น ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นนวดที่เหงือกของลูก และเริ่มทำความสะอาดปากให้ลูกได้เลยเพื่อให้ลูกเกิดความคุ้นเคย และเมื่อฟันของลูกขึ้นถึงครึ่งซี่แล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้แปรงสีฟันไนล่อน ขนนุ่มที่เหมาะสำหรับเด็กทำความสะอาดปากของลูกค่ะ

ตัวอย่างแปรงสีฟันสำหรับทารก

2. อย่าให้ลูกหลับไปพร้อมขวดนม

คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง อย่าให้ลูกนอนหลับไปพร้อมขวดนม และอาจฝึกให้ลูกนั่งดื่มน้ำจากหลอด เพื่อให้ลูกหย่าจากขวดนมได้ภายในอายุหนึ่งขวบครึ่ง นอกจากนี้อาจส่งเสริมให้ลูกกินอาหารที่ดี ครงทั้ง 5 หมู่ เพื่อไม่ให้ลูกติดรสชาติหวาน ติดขนมหวาน ที่จะทำให้ลูกฟันผุได้ง่าย

3. พาไปพบหมอฟัน

หลังจากฟันซี่แรกของลูกขึ้น ให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปพบหมอฟันตั้งแต่ลูกอายุไม่เกิน 1 ขวบ เพื่อตรวจสุขภาพฟัน และปรึกษาวิธีการดูแลฟันลูกเพื่อป้องกันปัญหาฟันผุที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

ฟันที่แข็งแรง ช่องปากที่สะอาดเป็นเหมือนของขวัญมีค่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถมอบให้ลูกรักได้ตั้งแต่เขายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดี ให้คุณพ่อคุณแม่เพิ่มความใส่ใจเรื่องนี้ขึ้นมาสักนิด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกรักค่ะ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ