ไม่อยากเชื่อก็จำใจต้องเชื่อ ว่าโศกนาฏกรรมเรื่องเด็กที่ถูกทิ้งไว้ในรถจนขาดใจนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยมากจนบางคนเริ่มมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเห็นข่าวแนวๆ นี้ เราอาจจะได้แต่ถอนหายใจแล้วบ่นว่า “อีกแล้วเหรอ” แต่ใครจะรู้จริงไหมคะ วันหนึ่งเรื่องที่ดูเหมือนไกลตัวแบบนี้ อาจกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของเราก็ได้ 

Happy Mom.Life ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เพิกเฉยกับเรื่องนี้ เราจึงอยากชวนมาคุยกันถึงปัญหา และวิธีการป้องกัน แก้ไข ไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกรัก หรือหลานรักของเราค่ะ

เด็กติดอยู่ คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง

เด็กที่ติดอยู่ในรถ เสียชีวิตจากสาเหตุใดกันแน่?

หลายคนอาจเข้าใจว่า เด็กที่ติดอยู่ในรถนั้น เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ซึ่งในความจริงนั้น โดยส่วนมากแล้วเด็กจะเสียชีวิตเพราะความร้อนมากกว่า!

โดยปกติแล้ว อากาศในรถจะมีเพียงพอต่อการหายใจได้นานเป็นชั่วโมง แต่ความร้อนภายในรถนั้นสามารถพุ่งสูงขึ้นได้ภายใน 5 นาที และอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 30 นาที 

ทั้งนี้เนื่องจาก ปกติแล้วร่างกายคนเราจะรักษาอุณหภูมิเอาไว้ที่ 37 องศา เมื่อร่างกายต้องเผชิญความร้อน ในช่วงแรกจะถ่ายเทความร้อนออกมาเป็นเหงื่อ แต่หากความร้อนยังพุ่งสูงขึ้นจนเกินจุดที่ร่างกายจะทนไหว ก็จะเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ทำให้อวัยวะต่างๆ หยุดทำงาน และเสียชีวิตในที่สุดนั่นเอง

ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถเพียงลำพัง

กฎ 5 ข้อที่จะช่วยชีวิตลูกของคุณ

คงไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกรัก หรือหลานของเราใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันปัญหา หรือหาทางแก้ไขในกรณีจำเป็นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นค่ะ เราขอรวบรวมเอาวิธีการป้องกันเหตุการณ์นี้มาฝาก สำหรับคนที่ยังมีลูกเล็กๆ อยู่ โดยให้ทำดังนี้ค่ะ

1. ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถเพียงลำพัง

คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทิ้งลูกรักไว้ในรถเพียงลำพังเด็ดขาดนะคะ แม้ว่าจะแง้มกระจกเอาไว้ให้แล้วก็ตาม เพราะนอกเหนือจากเรื่องความร้อนภายในรถที่อาจทำอันตรายให้กับลูกน้อยได้แล้ว อันตรายจากคนแปลกหน้าที่ไม่หวังดีต่อลูกรักของคุณก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าธุระนั้นจะสำคัญแค่ไหน ชีวิตลูกย่อมสำคัญกว่านะคะ เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งลูกไว้ในรถจะดีที่สุดค่ะ

2. ตรวจสอบทุกครั้งว่าลูกลงจากรถแล้ว

เมื่อคุณพ่อคุณแม่จอดรถเรียบร้อย ให้ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าลูกน้อยได้ลงจากรถมาแล้ว โดยถ้าเป็นไปได้ ให้เป็นคนรับลูกพาลงจากรถด้วยตัวเองเสมอค่ะ

3. อย่าให้ลูกไปหยิบของในรถเพียงลำพัง

เคยมีกรณีที่เด็กน้อยลืมกระเป๋าไว้ในรถ แล้วกลับไปหยิบกระเป๋าคนเดียว จากนั้นก็หายตัวไป รู้อีกทีก็พยร่างนอนนิ่งอยู่บนรถแล้ว กรณีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ควรใช้เตือนสติ ยอมเสียเวลาเดินไปหยิบของกัยลูกดีกว่าค่ะ เพื่อความปลอดภัยของลูกรักเอง

4. เลือกรถโรงเรียนที่ไว้ใจได้ในความปลอดภัย

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จำเป็นต้องใช้บริการรถโรงเรียน ขอให้เช็คให้มั่นใจถึงระบบความปลอดภัยในการดูแลเด็กๆ ของโรงเรียน เช่น มีครูพี่เลี้ยงคอยดูแลไหม ระบบการเช็คชื่อของครูพี่เลี้ยงรอบคอบดีหรือไม่ อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง แต่หากเป็นไปได้ ให้ไปรับส่งลูกเองจะดีกว่าค่ะ

5. สอนเด็กเอาตัวรอดในกรณีฉุกเฉิน

ข้อนี้เป็นเรื่องที่หลายๆ ฝ่านเริ่มตื่นตัวและให้ความสำคัญ เห็นได้จากโรงเรียนหลายๆ แห่งเริ่มมีการสอนเด็กๆ อนุบาลให้รู้จักการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกประตู หรือการบีบแตร อย่างไรก็ตาม หากคุณพ่อคุณแม่จะสอนลูกปลดล็อกประตูเอง ต้องให้เด็กๆ เข้าใจด้วยว่า การปลดล็อกประตูระหว่างรถวิ่งเป็นอันตรายมาก ไม่อย่างนั้นอาจเกิดโศกนาฏกรรมเรื่องอื่นขึ้นมาแทนก็ได้ค่ะ

แม้ว่าปัญหาเด็กติดอยู่ในรถจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในเมืองไทย แต่ Happy Mom.Lifeเชื่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาก็คือสติ และความรอบคอยของผู้ใหญ่อย่างเราๆ หากเราไม่ประมาท และมีสติในทุกย่างก้าว แล้วปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปจากสังคมได้เองค่ะ